เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ พ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นเรื่องทานนะ ให้ธรรมเป็นทาน เวลาเราพูดถึงเวลาโยมให้อาหารใช่ไหม เสียสละทาน ทาน ศีล ภาวนา เวลาเรื่องทาน ศีล ภาวนานะ ถ้าพูดถึงคนทุกข์คนยากนะ เรื่องอาหาร เรื่องปัจจัย ๔ นี่เป็นของที่ว่าโอ้โฮ แสวงหานะ แต่ถ้าคนมีมากมันเป็นภาระหน้าที่ มันเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ

เราเคยธุดงค์ เวลาธุดงค์ไปในป่าในเขานะ เอาเณรไปด้วยเพราะบางที่มันบิณฑบาตไม่ได้ สมัยโบราณนะ สมัยที่เราธุดงค์อยู่มันไม่มีมาม่า ของที่เก็บได้ก็คือพริกเผากับไข่เค็ม แล้วพวกนี้มดมันจะขึ้นมาก พริกเผา ไข่เค็ม พวกปลาร้านี่ เพราะอยู่อีสานพวกปลาร้านี้ต้องเก็บรักษาให้ดีเลย แล้วเป็นภาระมาก ต้องคอยดูแลเรื่องมด แล้วมีเทคนิคมาก เวลาแขวนเอาสามขาแขวนไว้ในป่านะ แล้วแขวนไว้ แล้วเชือกนี่เอายาหม่องทาไว้ ทาเชือกไม่ให้มดมันเดินได้ ต้องมีเทคนิค ต้องรักษาเรื่องนี้มาก

คนทุกข์คนยากอยากได้เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เครื่องดำรงชีวิต แต่คนที่มีภาระนะ ดูสิเวลาเราเก็บของ เห็นไหม ของนี้มันแบบว่าอายุมันสั้น เราจะรักษาอย่างไร? มันเป็นภาระรับผิดชอบนะ แล้วของที่เขาให้มาทำให้ของเขาเสียหาย มันก็ไม่สมควรใช่ไหม นี้ให้ทานนะ

แต่ถ้าให้ธรรมะเป็นทาน เห็นไหม สิ่งใดได้ยินได้ฟัง ถึงได้ยินได้ฟังทุกวันๆ แต่มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก แต่หัวใจมันด้าน หัวใจมันด้านมันไม่รับรู้สิ่งใด มันปฏิเสธสิ่งนั้นนะ แต่ถ้าวันใดหัวใจมันเปิดขึ้นมานะ ทำไมไม่พูดอย่างนี้ ทำไมไม่เข้าใจอย่างนี้ ทำไมครูบาอาจารย์ไม่สอนอย่างนี้

สอนจนปากเปียกปากแฉะนะ แต่ถ้าหัวใจมันด้าน มันปิดนะ มันไม่ฟังหรอก ภาชนะมันคว่ำไว้ เห็นไหม นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เวลาคนที่เข้าไปถึงหัวใจนี่ เหมือนหงายภาชนะที่คว่ำไว้ให้หงายขึ้น ถ้าหงายขึ้นฝนตกแดดออกขนาดไหนมันได้ผลประโยชน์ของมัน ถ้ามันคว่ำลงนะมันจะไม่ได้อะไรเลย เห็นไหม นี่ให้ธรรมเป็นทาน การให้ธรรมเป็นทานยากกว่าการให้อาหารเป็นทานมหาศาลเลย

การให้อาหารเป็นทาน เห็นไหม คนถ้าพูดถึงเจ็บไข้ได้ป่วยกินอาหารไม่ได้ เขาให้ทางเส้นเลือดได้ เขาให้ทางสายยางได้ เขาอัดเข้าไปในกระเพาะได้ เขาทำได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าพูดถึงหัวใจมันปิดนะ มันคว่ำนะ มันจะไม่ฟังสิ่งใดๆ เลย ถ้ามันฟังนะพ่อแม่จะไม่ทุกข์อย่างนี้ พ่อแม่นะเวลาสอนลูกสอนเต้าอยากให้ลูกเป็นคนดี พ่อแม่ปรารถนาดีกับลูกมหาศาลเลย แต่ลูกทำไมมันดื้อ ลูกทำไมมันไม่ฟัง เห็นไหม นี่เพราะหัวใจมันต่างกันโดยวัย ไปในงาน เห็นไหม ดูสิเด็กไปสนุกครึกครื้นนะ ผู้ใหญ่ก็ไปนะ วุฒิภาวะของใจต่างๆ กันไป มองในภาพอันเดียวกัน แต่มองได้ลึกซึ้งมาก มองด้วยพิธีกรรมก็ไปทำบุญกุศลกัน มองถึงความผูกพันไง มองถึงคุณประโยชน์

ดูสิ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนี่ ทำไมเรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจของเรา เพราะอะไร? เพราะเมตตานะ เมตตาคุณ ปัญญาคุณ วิสุทธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ให้ตกผลึกเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม ดูสิว่า ศาสนาคือการให้อภัย ศาสนาที่ไม่มีสงครามศาสนามีแต่ศาสนาพุทธนะ ศาสนาอื่นๆ เขาก็ยังมีการขัดแย้งกัน แต่การขัดแย้งของเราก็แยกตัวออกไป เห็นไหม การขัดแย้งกัน นี่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แล้วไม่จองเวรแต่เรามีทิฏฐิ มีความคิดผิดไหม? นี่สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นของศาสนา แม้แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นที่ผิด ถ้าความเห็นที่ผิดทำให้การดำรงชีวิตมันต่างกันออกไป แต่ไม่เกิดถึงการโต้แย้งออกมาเป็นสิ่งที่หยาบๆ เห็นไหม

นี่ดูสิปาณาติปาตา การตีกัน การกล่าวร้ายกัน การจาบจ้วงกัน อันนี้มันก็เป็นการทำลายกันแล้วนะ การทำลายหัวใจ เห็นไหม ถากถางกัน ถากถางกันด้วยปาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในพระไตรปิฎกนะ เราจะถากถางเราต้องใช้ขวาน ใช้อาวุธต่างๆ เราถากไม้ ถากอะไร แต่เราถากถางกันด้วยปาก ถากถางกันด้วยคำพูด เห็นไหม คำนี้เป็นเรื่องของทุจริตนะ

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์แสดงธรรมนี่ มันเป็นการถากถางไหม? มันเป็นการปลุกเร้าใจ เป็นการกระตุ้นให้มีความรู้สึกไง เป็นการชี้ขุมทรัพย์นะ แล้วครูบาอาจารย์อย่างนี้มีที่ไหน? เพราะอะไร? ครูบาอาจารย์ที่มีหัวใจสูงส่งนะ จะมองเห็น เหมือนหมอเลย หมอเริ่มต้นจากการดำรงชีวิต ผลของมันคือจะเป็นสภาวะแบบใด การดำรงชีวิตนะ เพราะว่าเวลาโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาแล้วนี่ เหตุนี้มาจากไหน จะสาวไปเลย สาวตั้งแต่การดำรงชีวิต การประมาทในชีวิต การไม่ดูแลรักษาตัวเอง ผลของมันก็คือเป็นโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้ไง

นี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีสติ เราไม่ควบคุมศีลของเรา มันเป็นนิวรณธรรม เราจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่มันเกิดสภาวะกรรมทั้งนั้น ถ้าเกิดสภาวะกรรมทั้งนั้นแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปมันก็จะเป็นมิจฉาทิฏฐิไง มิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม เวลาจิตมันสงบเข้ามานี่เป็นมิจฉาสมาธิ ถ้ามิจฉาสมาธิมันก็จะไม่เป็นประโยชน์กับเรา

ดูสิอาหาร อาหารที่เป็นพิษ อาหารเหมือนกันนะ อาหารที่เขาฉาบด้วยสารพิษ เห็นไหม กินเข้าไปตายทั้งนั้นน่ะ ดูสิเวลาเขาประทุษร้ายกัน เขาวางยาพิษนะ อาหารก็เอร็ดอร่อยเหมือนกัน อาหารก็เหมือนกัน แต่สารพิษนั้นเรามองไม่เห็น กินเข้าไปตายนะ อาหารที่เป็นประโยชน์มีคุณประโยชน์กับร่างกาย

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรานี่เราไม่รู้หรอก เพราะอะไร? เพราะในหัวใจเรามีสารพิษ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เห็นไหม วิชชากับอวิชชา วิชชากับอวิชชามันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันเป็นเครื่องดำเนิน วิธีการเป็นเครื่องดำเนิน เครื่องดำเนินไปหาสัจจะความจริง แล้วมันมีเชื้ออยู่แล้ว ถ้าไม่มีเชื้อเราจะไม่เกิดอยู่แล้ว ที่มันยากมันยากตรงนี้ไง อวิชชาพาเกิดพาตายนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาจากอวิชชานี่ การเกิดในอวิชชานี้เกิดมาแล้วก็ผูกพันในความรู้สึก ความคิดนี่ความคิดมันยึดไง ถ้าตัวตนเป็นเราสรรพสิ่งก็เป็นของเรา ทุกอย่างก็เป็นของเรา ชีวิตก็เป็นของเรา มันก็ต่อต้าน มันไม่เป็นความจริงไง

ชีวิตนี้เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาเป็นบุญกุศล เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีประโยชน์มาก มีประโยชน์เพราะอะไร? เพราะมนุษย์มีประโยชน์ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เพราะมนุษย์มีร่างกายและจิตใจ เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม เขามีแต่ร่างกายของเขานะ มีแต่จิตใจของเขา เพราะเขามีแต่เป็นทิพย์หมด สิ่งใดเป็นทิพย์หมด มันก็ไม่ทุกข์ร้อนทำมาหากินเหมือนเรา เห็นไหม

ดูสิดูอย่างสัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิ เห็นไหม สัตว์เดรัจฉานก็ต้องหาอยู่หากิน เพราะมันมีกระเพาะมันก็ต้องหิวเหมือนเรา แต่เวลาภูต ผี ปีศาจ พวกนรกอเวจี เขามีอะไร? เขาอยู่ด้วยกรรมนะ ไฟแผดเผาโดยการกระทำของกรรมขนาดไหน แผดเผาขนาดไหน เขาย่อยสลายไปแล้วเขาก็ขึ้นมาใหม่ เพราะเขายังไม่หมดกรรมตายไม่ได้ พอตายไม่ได้สภาวะกรรมเป็นแบบนั้น เห็นไหม ทิพย์อันหนึ่งเป็นความสุข อีกอันหนึ่งเป็นไฟนรกอเวจี มันก็เหมือนกับทิพย์ แต่มันเป็นนามธรรมอย่างนั้นก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนั้น เห็นไหม สัตว์เดรัจฉาน สูงสุดของอบายภูมิคือสัตว์เดรัจฉาน

นี่สิ่งที่เป็นมนุษย์กึ่งกลางระหว่างกามภพ อรูปภพ ต่างๆ มันมีร่างกายมีจิตใจ นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาโดยกรรม เกิดมาโดยอำนาจวาสนา เราทำหน้าที่การงานของเรา เราจะประสบความสำเร็จ เราจะมีสุขมีทุกข์เจือปนกันไป ไม่มีใครสุขตลอดไปหรอก ไม่มี โลกนี้ไม่มีใครสุขตลอด ไม่มีใครจะได้สมปรารถนาตลอดไป

แต่ถ้ามาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เวลาทำจิตสงบเข้ามานี่ พอจิตสงบเข้ามา นี่จิตที่มันหิวโหยมันอิ่มเต็มได้นะ เรานะการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้ เห็นไหม ดูสิสิ่งที่เกิดดับๆ เห็นไหม การเกิดนามรูป เกิดดับๆ เกิดดับๆ แล้วเราก็ทุกข์กับการเกิดดับๆ เห็นการเกิดดับๆ ตลอดไป ถ้ามันหยุดขึ้นมาได้ หยุดขึ้นมาได้ มันอิ่มเต็มขึ้นมาได้ นั้นน่ะจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน ปุถุชนควบคุมความรู้สึกไม่ได้ ความคุมตัวเองไม่ได้ ต่างๆ ทำอะไรไม่ได้เลย แล้วแต่แรงปรารถนาแรงพอใจมันฉุดกระชากลากไป

แต่ถ้าเราเห็นโทษของมัน เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้ เห็นที่ไหน? เห็นในตำราหรือ เห็นในการศึกษาหรือ เห็นในการตรรกะหรือ เห็นจากครูบาอาจารย์เทศนาว่าการเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างนี้หรือ ไม่ใช่ ไม่ใช่หรอก ถ้าเห็นอย่างนี้มันเห็นชั่วคราว เห็นชั่วคราวเหมือนกับเราซื้อเทคโนโลยีมา แต่เราใช้มันไม่เป็น ซื้อมาเห็นไหม เราได้ใช้มัน เราเสียหายซ่อมไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น มันไม่ยั่งยืน แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีของเรา เราเป็นคนประกอบขึ้นเอง เราเป็นคนรักษาเอง เราบำรุงรักษาเอง มันเสียหายตรงไหนเราแก้ไขได้หมด เราควบคุมได้หมด เห็นไหม

นี่ถ้าเราไปรู้เองเห็นเอง นี่มันเกิดดับๆ นี่เป็นกัลยาณปุถุชน แต่ด้วยอวิชชา ด้วยความไม่เข้าใจของเราว่านี่เป็นนิพพานไง นี่แค่นี้ พอจิตสงบเย็นนี่เป็นนิพพาน นิพพานคือความควบคุมตนเองได้ ไร้สาระ! ไร้สาระสิ้นดี เพราะอะไร? เพราะมันเริ่มต้นไง เริ่มต้นนี่วุฒิภาวะของใจมันเป็นสภาวะแบบนี้

นี่ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้นะ สำคัญที่ว่าเริ่มควบคุมใจได้นี่มันเริ่มเป็นปัญญาอบรมสมาธิ นี่กรรมฐาน ฐานที่ตั้ง ฐานที่ตั้งควรแก่การงาน กรรมฐานถ้าเราไม่เห็นออฟฟิศนะ คนทำงานต้องมีออฟฟิศ นักกีฬาต้องมีสนามซ้อม สนามแข่งขัน สนามซ้อม สนามแข่งขันนี่สนามเดียวกัน แต่ขณะใช้ต่างกัน เห็นไหม สนามแข่งขันแต่ขณะซ้อมอยู่มันไม่เห็นมีคนให้ค่าเลย แต่ขณะแข่งขันก็สนามเดียวกันนั้นล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน กรรมฐาน ฐานที่ใจเห็นไหม ขณะที่เราฝึกซ้อมของเรา แต่มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา มันไม่เป็นมรรคญาณขึ้นมา มันยังไม่เป็นสนามแข่งขัน มันเป็นสนามทดสอบ สนามฝึกซ้อมเห็นไหม เราฝึกซ้อมของเราขึ้นมา ให้จิตมันสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา นี่การที่จิตสงบเข้ามา สิ่งที่เป็นกัลยาณปุถุชน แล้วครูบาอาจารย์พยายามจะพาก้าวเดินไป จิตมันก้าวเดินไปนะ ก้าวเดินเข้าไปทวนกระแส การก้าวเดินออกไปของเรามันได้ระยะทาง แต่การก้าวเดินของใจ เห็นไหม เกิดตายๆ นี่มันได้ภพได้ชาติ ได้การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม เกิดชาติหนึ่งทุกข์หนหนึ่ง เห็นไหม เราเกิดมาชาตินี้ เราก็ แหม มันทำไมทุกข์ขนาดนี้ มันไม่พอใจขนาดนี้

ถ้าได้ฟังธรรมมันสะสมลงที่ใจ ภาพประทับใจนะ เสียงประทับใจ สิ่งที่ประทับใจนี่มันจะฝังใจไป สิ่งที่ฝังใจไป เห็นไหม นี่สังขาร สังขารคือความปรุงความแต่ง สัญญาคือข้อมูลที่เก็บไว้ นี้คือในชาติปัจจุบัน มันคือด้วยชาติปัจจุบัน แต่เวลาก่อนมันจะตายนี่นะ มันจะย่อยสลายอยู่ใน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญญาณในอายตนะ วิญญาณในรูป รส กลิ่น เสียง วิญญาณในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้วิญญาณรับรู้นะ รับรู้สิ่งหนึ่ง เวลาตายไปภพหนึ่งก็ได้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ขันธ์ ๕ อันนี้มันย่อยสลายเข้าไปอยู่ในปฏิสนธิจิต นี่ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณกับวิญญาณความรับรู้สึก

วิญญาณที่เราเป็นมนุษย์ วิญญาณที่เป็นเทวดา มันวิญญาณเปลือกๆ วิญญาณอย่างนี้เกิด-ดับ วิญญาณอย่างนี้เกิด-ดับ แล้วข้อมูลย่อยสลายเข้าไปอยู่ในปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณตัวนี้มันเกิดตายๆ แล้ววิญญาณตัวนี้ จิตตัวนี้มันมีอยู่ตลอดไป มันไม่เคยย่อยสลาย มันตายไม่ได้ มันเป็นสสารธาตุรู้ ธาตุที่มีความรู้สึก ไม่ใช่ธาตุสสารที่ไม่มีชีวิตแบบอากาศธาตุ แบบธาตุ สสารต่างๆ สสารอย่างนี้ธาตุรู้นี้มันสำคัญ แล้วธาตุรู้ทำความสะอาดของธาตุรู้ขึ้นมาหมดแล้ว เห็นไหม

นี่นิพพานเที่ยงเที่ยงอย่างนี้ นิพพานเที่ยงเพราะจิตตัวนี้มันตายไม่ได้ มันแปรสภาพ แปรสภาพเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้หมด เราเคยเป็นกษัตริย์ เราเคยเป็นจักรพรรดิ เราเคยเป็นพระอินทร์ เราเคยเป็นพรหม เคยเป็นทั้งนั้นเลยล่ะ นี่ขณะที่เคยเป็นมันก็สะสม นี่ตัดแต่งพันธุกรรม ตัดแต่งให้จิตดวงนี้มันได้สร้างจริตนิสัย ถ้าเราเกิดในจิตนิสัยดี เห็นไหม

ในทางครูบาอาจารย์ท่านว่านะ ในธรรมบท เห็นไหม นี่พวกศิลปะ พวกต่างๆ นี่ส่วนใหญ่เกิดมาจากเทวดา เพราะเทวดาเขาเกิดมาอยู่ข้างบนศิลปะมันจะสวยงาม แล้วมันจะฝังใจลงมา นี่ที่มีศิลปะมีอะไร แล้วคนที่มีพลังในหัวใจ คนที่มีเชาวน์ปัญญาเห็นไหม เกิดมาจากพรหม เกิดมาจากพรหมเพราะว่าเราอยู่บนพรหมนานจิตมันจะมีพลัง

ดูสิ ดูคนมีพลัง เห็นไหม ดูสิมีความกล้าหาญ มีความองอาจกล้าหาญ แต่ใช้ในทางผิดทางถูกนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ จะเป็นเทวดาก็มีเทวดามิจฉาทิฏฐิ! เป็นเทวดาก็มีเทวดาสัมมาทิฏฐิ! จะเป็นพรหมก็มีพรหมมิจฉาทิฏฐิ! เพราะในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว นี้คนดีคนชั่วเวลามาเกิดเป็นมนุษย์มันจะมีพลังของมัน พลังของมันถ้ามีสัมมาทิฏฐิ! เห็นไหม เป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้ที่ให้ความร่มเย็นแก่สังคม ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ! มีพลังงาน เห็นไหม รู้จักใช้คน รู้จักทำลายคน รู้จักวางแผน รู้จักทำลาย รู้จักแบ่งแยกปกครอง ทำให้สังคมเดือดร้อนไปหมดเลย เห็นไหม

นี่สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ นี่เป็นมรรค เริ่มต้นของมรรค ถ้าเป็นปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญาที่คุณงามความดีมันจะตัดแต่งพันธุกรรมมาอย่างนี้ แล้วจิตมันจะเป็นประโยชน์อย่างนี้ ประโยชน์มันเกิดมาจากเรา จิตมันพัฒนามาอย่างนี้นะ นี่วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ จะเห็นสภาวะแบบนี้ แล้วเรื่องอย่างนี้ในปัจจุบันเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ได้ชาติเดียวในปัจจุบันนี้ อยู่ในปัจจุบันนี้เราไม่รู้เรามาจากไหน แล้วจะไปไหน? แต่ถ้าเป็นธรรมถ้ายังไม่รู้ว่ามาจากไหน จะไปที่ไหน มันมีความลังเลสงสัยไหม? จะสิ้นกิเลสได้ไหม? ถ้าสิ้นกิเลสได้ การสิ้นกิเลสนี่จิตนี้มีอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าว่างแล้วจะไม่มีที่อยู่ จะมีพ่อมีแม่ เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราเกิดเกิดจากพ่อจากแม่ แล้วนี่เราจะไปเกิดกับใคร เกิดจากธรรม เห็นไหม ดูสิเกิดจากธรรม เกิดในธรรมเกิดแล้วจิตมีความสุข จิตนี้ไม่หมุนไม่เวียนไปอีก แล้วมีความสุข เพราะความรู้สึกอันนี้มันมีอยู่กับเราใช่ไหม? เวลามันสิ้นแล้วมันก็มีอยู่กับเราอยู่อย่างนี้ สิ่งที่มีอยู่กับเรา เป็นกับเรา เป็นประโยชน์กับเรา

นี่วุฒิภาวะของใจ ใจจะเป็นวุฒิภาวะพัฒนาขึ้นไป เราพัฒนาขึ้นไป นี่ฟังธรรม นี้ให้ธรรมเป็นทาน เวลาให้อาหารเป็นทานนะ เราให้อาหาร ให้ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นทาน แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติ ทำบุญร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดจากทำสมาธิสงบหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่ง เห็นไหม สมาธิร้อยพันหนน่ะ แล้วทำไมไม่เกิดปัญญาล่ะ

ไม่เกิดปัญญาเพราะไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของหลวงปู่มั่น เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านบุกเบิกมา นี่คุณธรรมอันนี้มันสูงส่ง สูงส่งนะ นี่มองภาพสิ ภาพในงานก็ส่วนภาพในงาน แต่ความดูดดื่ม ความเห็นคุณ เห็นบุญเห็นคุณ เห็นคุณอันนี้สำคัญมากนะ ถ้าเห็นบุญเห็นคุณมันจะซึ้งในหัวใจ เพราะสิ่งนี้มันได้มายาก แล้วเราก็ทำได้ยาก แล้วของยากๆ นี่มันอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์เราที่คอยชี้นำเราอยู่นะ

แล้วท่านสิ้นชีวิตไปนะมันก็เหลือแต่ข้อมูล ข้อมูลนี่พูดไม่ได้ อยู่ที่การตีความของเรา เหมือนพระไตรปิฎก นี่ข้อมูลนี้ถูกต้อง แต่เราตีความไม่ถูกต้องมันก็หันซ้ายหันขวา งงอยู่นี่ แต่ถ้าสิ่งที่มีชีวิตอยู่นี้นะ ข้อมูลเราตีความผิด ท่านจะบอกผิด! ถูกจะเป็นอย่างนี้ ผิดอย่างนั้น ถูกเป็นอย่างนี้ แล้วถ้าถูกอย่างนี้ พอมันเป็นสิ่งหยาบๆ ขึ้นไป มรรคหยาบ มรรคละเอียด มันจะละเอียดเป็นชั้นๆๆ เข้าไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ไง

แต่ถ้าอย่างนั้นนะ เราก็ได้แต่อำนาจวาสนาของเรา เห็นไหม นี่จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนก็ว่านี่สิ้นกิเลสแล้ว ยัง ถ้าไม่มีของจริงมาเปรียบเทียบ เป็นธรรมของเรา เป็นความรู้สึกของเรา สุดยอดของเรา ถ้าสุดยอดที่เราไปเห็น แต่ถ้ามันปรับฐานแล้วนี่ มันปรับฐานแล้วเราก้าวขึ้นไปๆ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา แต่โดยกิเลส โดยความที่เรามุมานะ โดยการทำที่แสนยาก พอทำมันนึกว่ามันสุดยอดแล้ว เราทุ่มไปสุดชีวิตแล้วนะ แต่การทุ่มสุดชีวิตแล้วนี่ธรรมะอยู่ฟากตาย

จะสละตายแล้วตายเล่า ถึงที่สุดการสละตายไม่ใช่มันจะตายหรอก การสละตายคือกิเลสมันเอาข้อมูลอย่างนี้มาอ้างอิง ถ้าเราบอกตายขอดูตายก่อนกิเลสมันไม่กล้าเอามาอ้างอิง มันจะปล่อยไป แล้วเราจะข้ามพ้นไปๆ ถ้าบอกตายแล้วไม่มีใครก้าวเดิน เห็นไหม นี่ธรรมะอยู่ฟากตายจะเห็นเลยว่าสิ่งที่มันสุดยอดของเรามันจะปรับฐาน แล้วใจมันจะพัฒนาขึ้นไป เห็นไหมวุฒิภาวะของใจ นี่การมองสังคม การมองภาพรวม การมองต่างๆ เด็กมอง ผู้ใหญ่มอง คนมีประสบการณ์มอง นี่มันจะซึ้งใจต่างกัน ข้อมูลที่ออกมาจากหัวใจต่างกัน นี่จิตที่ประเสริฐ วุฒิภาวะที่ดี เอวัง